มมส.แดนงาม

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

sony

ประวัติกล้อง Sony


   

       ถึงแม้ว่าจะถูกจัดว่าเป็น ผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการถ่ายภาพ แต่ถ้าเป็นในวงการอิเล็คทรอนิกส์แล้วกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นแห่งนี้ ก็แทบไม่เป็นที่สองรองใคร ดังจะเห็นได้จากการได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ที่ห้าของโลกในแง่ของรายได้รวมในปี ค.ศ. 2008
         Sony Corporation มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Soni Kabushiki Gaisha เริ่มต้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากปี ค.ศ. 1945 จากร้านซ่อมวิทยุเล็กๆ ที่ดำเนินกิจการอยู่ในซากปรักหักพังจากไฟสงครามโดย มาซารุ อิบูกะ ในเขตนิฮอนบาชิของกรุงโตเกียว ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นอิบูกะก็ได้เปิดบริษัทของตัวเองขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Tokyo Tsushin Kogyo K.K. (Tokyo Telecommunications Engineering Corporation) ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่สร้าง Type-G ระบบเทปบันทึกเสียงตัวแรกของญี่ปุ่นขึ้นสำเร็จ
      ใน ปี ค.ศ. 1950 อิบูกะได้เดินทางท่องไปในอเมริกาและได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “ทรานซิสเตอร์” อันเป็นผลงานของ Bell Labs ซึ่งอิบูกะมองเห็นช่องทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทันที จึงได้พูดจาหว่านล้อมให้ Bell Labs มอบสิทธิให้กับบริษัทของเขา ในขณะนั้นบริษัทอิเลคทรอนิกส์ของอเมริกาจำนวนมากต่างก็กำลังค้นคว้าวิจัย เรื่องของทรานซิสเตอร์เพื่อนำไปผลิตอุปกรณ์ทางการทหาร แต่อิบูกะสนใจที่จะนำมันไปใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารมากกว่า และถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วบริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Regency และ Texus Instruments จะสร้างวิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของโลกได้เป็นผลสำเร็จ แต่กลับเป็นบริษัทของอิบูกะที่สามารถนำมันไปใช้ในเชิงธุรกิจได้สำเร็จเป็น แห่งแรก ซึ่งวิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของอิบูกะก็คือ TR-55 ในปี ค.ศ. 1955 จากนั้นก็ตามออกมาด้วยวิทยุทรานซิสเตอร์อีกหลากหลายรุ่น พร้อมทั้งดำเนินการส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลกด้วย
      ตลอด ระยะเวลาที่ Sony บุกตะลุยธุรกิจด้านภาพและเสียงนั้นก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นผลงานใหม่ๆ ออกสู่โลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันเป็น มาตรฐานทั่วไป แต่กรณีที่โด่งดังมากที่สุดก็คือศึกชิงมาตรฐานระบบวีดีโอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ตามบ้านในปี ค.ศ. 1980 ระหว่างระบบ Betamax ของ Sony และ VHS ของ JVC ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า VHS ของ JVC ชนะและได้กลายมาเป็นมาตรฐานของวีดีโอตามบ้านในเวลาต่อมา ส่วนระบบ Betamax ของ Sony นั้นถูกพัฒนาไปเป็นระบบสำหรับมืออาชีพในการผลิตรายการโทรทัศน์แทนเนื่องจาก ให้คุณภาพของภาพและเสียงที่สูงมาก
      สังเวียน ที่ 2 เพิ่งจบไปไม่นานนี้เอง เมื่อ Toshiba เปิดศึกชิงมาตรฐานระบบดิจิตอลวีดีโอแบบแผ่นระหว่าง HD-DVD ของ Toshiba และ Blu-Ray ของ Sony ซึ่งผลปรากฏว่ารอบนี้ Sony ได้รับชัยชนะไปอย่างขาดลอย ส่งผลให้ Blu-Ray ได้เข้าสู่การเป็นมาตรฐานของผู้ใช้ทั่วไปได้สำเร็จ
      ก้าว ใหญ่ๆ อีกก้าวหนึ่งของ Sony ได้เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2006 เมื่อ Sony ได้เข้าซื้อกิจการกล้องถ่ายภาพของ Konica Minolta เอาไว้ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงแบรนด์ Alpha (α) กล้อง Digital SLR ของ KonicaMinolta มาจัดการต่อไป ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2006-2008 นั้น Sony จัดได้ว่าเป็นบริษัทที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุดในธุรกิจกล้องถ่ายภาพด้วยส่วน แบ่ง 13% ในตลาดนี้ ส่งผลให้ Sony Alpha ขึ้นเป็นอันดับที่สามในตลาด DSLR ได้เป็นผลสำเร็จ
      กล้อง Alpha ตัวแรกจากผลงานของ Sony ที่ออกสู่ตลาดก็คือ Alpha 100 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2006 ตามมาด้วยกล้องที่จริงจังมากขึ้นอย่าง Alpha 700 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 จากนั้น Sony ก็ได้ทยอยปล่อยกล้อง DSLR สำหรับกุล่มผู้ใช้มือสมัครเล่นออกมาเป็นระยะๆ แต่ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 Sony ก็สั่นสะท้านวงการด้วยการปล่อย Alpha 900 DSLR ระดับมืออาชีพที่มีเซนเซอร์รับภาพขนาด Full Frame พร้อมความละเอียดที่สูงมากถึง 24.6 MP ลงสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป ทำเอาคนในวงการโจษขานกันข้ามปีเลยทีเดียว
      Sony นั้นได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งอิเล็คทรอนิกส์อยู่แล้ว อุปกรณ์ส่วนประกอบต่างๆ ที่ใช้ในกล้องนั้นทาง Sony ก็ผลิตจำหน่ายให้กับผู้ผลิตกล้องรายอื่นๆ อยู่เป็นปกติ ดังนั้นการที่ Sony จะใช้จุดแข็งที่มีในด้านนี้เพื่อสร้างความฮือฮาให้กับกล้องและอุปกรณ์ของตน ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
      อัน ที่จริงแล้วจะมองว่า Sony เป็นผู้เล่นหน้าใหม่สุดๆ ในวงการกล้องถ่ายภาพก็ยังไม่ถนัดนัก เพราะที่จริงแล้ว Sony เคยช็อคโลกมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยการปล่อยกล้องถ่ายภาพนิ่ง Mavica ซึ่งไม่ใช้ฟิล์มออกสู่ตลาดในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1981 ซึ่งในครั้งนั้นยังเรียกว่าเป็น Electronic Still Camera (ไม่ใช่ดิจิตอล) เพราะเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD ในกล้องนั้นจะทำงานในระบบวีดีโออนาล็อกซึ่งจะส่งสัญญาณภาพ NTSC ลงไปบันทึกเอาไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลขนาดสองนิ้วที่เรียกว่า VF ด้วยความละเอียด 570×490 px ซึ่งจะบันทึกภาพได้ประมาณ 50 ภาพ และยังมีรุ่น “โปร” ออกมาในดีไซน์แบบ SLR โดยที่มันสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ แถมยังมีอแดปเตอร์สำหรับนำเลนส์ของ Nikon หรือ Canon มาใช้ก็ได้อีกด้วย
 
   
   ปัจจุบันนี้ Mavica เลิกผลิตไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยกล้องตระกูล Cyber-shot ในระบบดิจิตอล เริ่มด้วยรุ่น DSC-D700 ในปี ค.ศ. 1998 และตามมาด้วยกล้อง Cyber-shot อีกนับร้อยรุ่นในภายหลังจนถึงปัจจุบัน
      คำ ว่า “Sony” นั้นมีที่มาจากการหยิบเอาศัพท์ในภาษาละติน “Sonus” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า Sonic และ Sound (ที่แปลว่า “เสียง” เพราะในช่วงแรกนั้นบริษัทดำเนินกิจการเกี่ยวกับเรื่องทางด้านเสียง) มารวมเข้ากับคำว่า “Sonny” ซึ่งเป็นศัพท์แสลงที่ชาวอเมริกันใช้เรียกเด็กผู้ชาย (เช่นเดียวกับคำว่า “ไอ้หนู” ในบ้านเรา) ซึ่งชื่อที่ใกล้เคียงกับคำที่อเมริกันคุ้นเคยเช่นนี้ย่อมต้องส่งผลดีต่อการ เรียกและทำความคุ้นเคยในจังหวะที่ต้องส่งสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจดจำง่ายกว่าชื่อบริษัท Tokyo Tsushin Kogyo ซึ่งอเมริกันไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
      ชื่อ Sony จึงปรากฏขึ้นใน TR-55 วิทยุทรานซิสเตอร์ตัวแรกของบริษัทในปี ค.ศ. 1955 แต่ชื่อของบริษัทก็ยังคงเป็นภาษาญี่ปุ่นตามเดิม จนกระทั่งถูกเปลี่ยนเป็น Sony อย่างเป็นทางการในภายหลังเมื่อเดือน มกราคม ค.ศ. 1958 สามปีให้หลังจากที่สินค้าตัวแรกถูกส่งออกไปยังต่างแดนและก็ประสบความสำเร็จ เป็นอย่างดีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
 
      กล้องตัวต่อมาของระดับกลางที่เป็น DSLR (ซึ่งหมายความว่าโซนี่ไม่ได้หันไปเอาอกเอาใจกับ SLT เพียงอย่างเดียว) กับความละเอียด 14.2 MP ผ่านเซนเซอร์รับภาพ Exmor™ HD ชนิด CMOS พร้อมโปรเซสเซอร์อัจฉริยะ Bionz™ ที่เป็นของคู่บารมีกันมานาน กล้องตัวนี้สามารถบันทึกภาพวีดีโอขนาด 1080P และถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องได้เร็ว 7 ภาพต่อวินาที ถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama เพื่อไปใช้งานแบบ 3 มิติกับจอ Bravia™ ได้ด้วยระบบ Live View นั้นทำงานร่วมกับระบบออโตโฟกัสแบบใหม่ “Phase Detection” ที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น จอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ปรับเปลี่ยนองศาได้, ISO สูงสุดที่ 25,600 พร้อมระบบ Auto HDR และปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาและตำแหน่งใหม่หมดซึ่งดูดีกว่าเดิมเยอะเลย กล้องตัวต่อมาของระดับกลางที่เป็น DSLR (ซึ่งหมายความว่าโซนี่ไม่ได้หันไปเอาอกเอาใจกับ SLT เพียงอย่างเดียว) กับความละเอียด 16.2 MP ผ่านเซนเซอร์รับภาพ Exmor™ HD ชนิด CM
OS พร้อมโปรเซสเซอร์อัจฉริยะ Bionz™ ที่เป็นของคู่บารมีกันมานาน กล้องตัวนี้สามารถบันทึกภาพวีดีโอขนาด 1080P และถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องได้เร็ว 7 ภาพต่อวินาที ถ่ายภาพแบบ 3D Sweep Panorama เพื่อไปใช้งานแบบ 3 มิติกับจอ Bravia™ ได้ด้วย ระบบ Live View นั้นทำงานร่วมกับระบบออโตโฟกัสแบบใหม่ “Phase Detecti
   on” ที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น จอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ปรับเปลี่ยนองศาได้, ISO สูงสุดที่ 25,600 พร้อมระบบ Auto HDR และปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาและตำแหน่งใหม่หมดซึ่งดูดีกว่าเดิมเยอะเลย
 
   กลับมาเป็นกริปมือจับขนาดใหญ่เหมือนเดิมกับกล้องรุ่นเล็กตัวนี้ที่น่าจะเห็น ปัญหากันอย่างชัดเจนในรุ่นก่อนที่กริปมือจับเล็กไปหน่อย เซนเซอร์รับภาพกลับมาใช้ชนิด CCD อีกครั้งกับ Exmor™ ขนาด APS-C ความละเอียด 14.2 MP มีจอภาพแบบพับเปลี่ยนองศามาให้ใช้งานพร้อมระบบ Live View ที่มีระบบ Quick AF Live View มาให้ใช้ แต่ความละเอียดจอภาพ LCD ต่ำไปสักหน่อยที่  230,400 px ช่องมองภาพครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเป็น 95% และมีพอร์ต HDMI รวมทั้งคุณสมบัติการ Sync กับจอ BRAVIA ของค่ายมาให้ใช้อีกด้วย
 
    ที่มา:http://www.tsdmag.com

   

Nikon

ประวัติกล้อง Nikon



   "Nikon" ชื่อที่พวกเรารู้จักกันดีนั้น มีชื่อบริษัทแบบเต็มๆ ว่า Nikon Corporation (Kabushiki Kaisha Nikon) ก่อตั้งบริษัทเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของสามบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ทางด้านออพติกชั้นนำ โดยใช้ชื่อในช่วงเริ่มต้นว่า Nippon Kogaku Kogyo Kabushikigaisha โดยบริษัทนี้มีวัตถุประสงค์ในการผลิตชิ้นเลนส์เพื่อใช้ในการถ่ายภาพ, กล้องส่องทางไกล และอุปกรณ์ทางการทหารของญี่ปุ่นอีกหลายรายการ (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ข้อมูลที่เราอาจจะแปลกใจก็คือ บริษัทนี้เป็นผู้ผลิตเลนส์ให้กับกล้องตัวแรกของ Canon ด้วย
   ส่วนเลนส์ชื่อ Nikkor นั้น เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 จากต้นตระกูลเดิมของเลนส์จากบริษัทนี้ที่ใช้ชื่อว่า Nikko จากการตัดทอนตัวอักษรชื่อเต็มของบริษัท(Nippon Kōgaku Kōgyō ) ซึ่งคำว่า Nikko ในภาษาญี่ปุ่นนั้นจะแปลว่า “แสงอาทิตย์”
   ปี ค.ศ. 1920 คือปีแรกที่มีการออกแบบเลนส์ตัวแรกเพื่อเตรียมทำตลาด และสำเร็จออกมาเป็นเลนส์ Anytar 120mm f/4.5 และในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นบริษัทก็ได้ขยายงานการผลิตไปสู่ อุปกรณ์เพื่อการทหารหลายชนิด รวมทั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพทางอากาศด้วย
   ภายหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง Nippon Kogagu ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะผลิตกล้องส่วนบุคคลสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเริ่มต้นที่การออกแบบกล้อง TLR 6×6 และกล้อง Rangefinder 35 มม. ซึ่งกล้อง TLR นั้นมีชื่อเรียกว่า Nikoflex แต่โครงการผลิตกล้องตัวนี้กลับถูกเลื่อนออกไปเพราะปัญหาที่ไม่สามารถหาระบบ ชัตเตอร์แบบ "Leaf" ที่เหมาะสมสำหรับประกอบเข้ากับกล้องตัวนี้ได้
   ทิศ ทางจึงมุ่งมาที่กล้อง Rangefinder ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Contax และ Leica แทน ซึ่งในที่สุดก็ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างมากมาย ส่งผลให้มีกล้อง Rangefinder อีกหลายรุ่นตามลงสู่ตลาด และก็ไม่เพียงแค่กล้องเท่านั้น บริษัทยังได้ผลิตเลนส์ที่สามารถนำไปใช้งานกับกล้อง Leica ได้ด้วย ซึ่งก็ได้รับคำชมจากช่างภาพมืออาชีพและช่างภาพข่าวเป็นอย่างมากด้วยเหตุที่ มันมีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อใช้กับฟิล์มขนาด 35 มม.   
   ต่อมาในปี ค.ศ. 1959 ก็เป็นช่วงแห่งประวัติศาสตร์ของ Nippon Kogaku อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Nikon F กล้องแบบ SLR 35mm ในระบบกลไกที่แข็งแรงทนทานต่อทุกสภาวะ และต้องการการดูแลรักษาน้อยกว่ากล้องอื่นๆ ในสมัยนั้น ซึ่งการันตีด้วยช่างภาพที่เป็นพันธมิตรกับ Nikon ผู้ปฏิบัติการถ่ายภาพอยู่ในพื้นที่สุดโต่งของโลกอย่างเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ หรือในทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งก็ทำให้กล้องรุ่นนี้มีชื่อเสียงที่โด่งดังอยู่ไม่ใช่น้อย ส่งผลให้ในเวลาต่อมา กล้องรุ่น F ของ Nikon ถูกกล่าวขวัญเป็นอย่างมากและเป็นที่ติดอกติดใจของบรรดาช่างภาพมืออาชีพทั่ว โลกแบบถล่มทลาย
   การออกแบบและพัฒนากล้องและอุปกรณ์อื่นๆ ยังคงเดินหน้าทำชื่อเสียงต่อไป กระทั่งในปี ค.ศ. 1988 บริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Nikon อย่างเป็นทางการ ถึงปัจจุบันนี้ก็แทบจะมีกล้องเฉียดสองร้อยรุ่น และหนึ่งในกล้องอีกชนิดหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Nikon เป็นอย่างมากก็คือ กล้องตระกูล Nikonos ซึ่งเป็นกล้องฟิล์มสำหรับการถ่ายภาพใต้น้ำ โดยมีการผลิตออกวางจำหน่ายถึง 5 รุ่นด้วยกัน
   เมื่อ กระแสของกล้องถ่ายภาพแบบดิจิตอลถาโถมเข้าใส่โลกอย่างรุนแรง Nikon ก็ไม่ยอมตกขบวนรถไฟสายด่วนนี้ บริษัทจึงได้เริ่มพัฒนากล้องสำหรับการใช้งานในอวกาศโดยการร่วมมือกับ NASA ในปี ค.ศ. 1991  แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้ร่วมมือกับ Kodak ในการพัฒนากล้องดิจิตอลโดยใช้พื้นฐานบอดี้ของกล้องฟิล์มไปบ้างแล้ว จนกระทั่งในที่สุด Nikon ก็เผยโฉมกล้อง DSLR ระดับมืออาชีพตัวแรกของโลกได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1999 ด้วยรุ่น D1 พร้อมกับการถือกำเนิดของสายการผลิต “Coolpix” ซึ่งเป็นกล้องคอมแพ็คสำหรับผู้ใช้ทั่วไปด้วย   
   และด้วยวิสัยทัศน์ที่เทน้ำหนักไปยังโลกดิจิตอล Nikon จึงได้ประกาศหยุดสายการผลิตกล้องและอุปกรณ์ในระบบฟิล์มอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมของปี ค.ศ. 2006 แต่ก็จะยังคงการผลิตกล้องฟิล์มระดับมืออาชีพตามแผนงานเอาไว้อีกหนึ่งรุ่นคือ Nikon F6 ที่มีแผนการเปิดตัวและวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2010 และยังจำหน่ายกล้องฟิล์มรุ่น FM10 ซึ่งผลิตโดย Cosina จนถึงปี ค.ศ. 2009 แต่จะยังคงการบริการและอะไหล่สำหรับกล้องฟิล์มเอาไว้อีก 10 ปี หลังจากนั้น สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นปมด้อยของ DSLR จาก Nikon ก็คือ มันเป็นกล้อง DSLR ที่ใช้เซนเซอร์รับภาพแบบ APS ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฟิล์ม 35 มม. ซึ่งกล้อง DSLR ที่ผลิตขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1999 ถึง 2007 ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้ใช้ทั่วไปหรือระดับมืออาชีพก็จะใช้เซนเซอร์รับภาพใน ขนาดนี้ทั้งสิ้น
   ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2007 นั้นเอง ปมด้อยของ Nikon ในเรื่องนี้ก็ถูกลบทิ้งไปด้วยการมาถึงของกล้อง DSLR ที่ใช้เซนเซอร์รับภาพขนาด Full Frame ตัวแรกในรุ่น D3 และตามมาด้วย D700 ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
   หลัง จาก D1 ที่เป็น DSLR ระดับโปรตัวแรกของโลกแล้ว ในปี ค.ศ. 2008 Nikon ก็ได้จารึกชื่อตัวเองในฐานะครั้งแรกของโลกอีกครั้งด้วยการประกาศเปิดตัว กล้อง DSLR รุ่น D90 ด้วยความที่มันเป็น DSLR ตัวแรกของโลกที่สามารถบันทึกภาพวีดีโอได้
   เรื่องน่ายินดีอีกอย่างหนึ่งสำหรับบ้านเราก็คือ Nikon ได้ทำการตั้งฐานการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ในประเทศไทยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผลิตกล้องในตระกูล Coolpix ที่โรงงานแห่งนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ซึ่งจัดเป็นอีกโรงงานหนึ่งที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก หน้าที่รับผิดชอบในขณะนั้นก็คือ การขึ้นรูปพลาสติกสำหรับผลิตตัวกล้อง, ชิ้นส่วนทางด้านออพติค, งานสี, งานพิมพ์, งานโลหะ, ผลิตเลนส์ Spherical และ Aspherical, ผลิตปริซึม, ผลิตมอเตอร์ Silent Wave และส่วนอุปกรณ์สำหรับระบบออโตโฟกัส ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 จึงได้ขยายสายการผลิตกล้อง DSLR ขึ้นที่โรงงานในเมืองไทยสำหรับกล้องในระดับเซนเซอร์ “DX” ส่วน DSLR ที่ใช้เซนเซอร์ Full Frame นั้นยังคงทำการผลิตจากโรงงานที่ญี่ปุ่นเช่นเดิม   
   
มวยรุ่นกลางจากค่าย Nikon ที่มาแทน D300S กับความสามารถและคุณสมบัติสมัยใหม่เต็มตัว มีความละเอียดจากเซนเซอร์รับภาพแบบ CMOS อยู่ที่ 16.2 MP ดัน ISO จาก 100 ไปถึง 25600 พร้อมคุณสมบัติในการลดจุดรบกวนหรือ Noise ตามสไตล์ของ Nikon  ติดตั้งเซนเซอร์ออโตโฟกัสมาให้มากถึง 39 จุด ซึ่งเป็นแบบ Cross Type 9 จุดเพื่อความแม่นยำ ช่องมองภาพมองเห็นพื้นที่ได้ 100% ตัวกล้องจากวัสดุ Magnisium Alloy พร้อมระบบการซีลป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ ใส่ SD Card ได้ถึง 2 ใบพร้อมกันโดยที่สามารถกำหนดลักษณะหน้าที่การทำงานได้ ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 6 ภาพต่อวินาที มีระบบ Face Detection สำหรับจับใบหน้าได้โดยอัตโนมัติ แน่นอนว่ากล้อง DSLR ยุคนี้ต้องบันทึกภาพวีดีโอได้ด้วย D7000 สามารถบันทึกภาพวีดีโอแบบ Full HD 1080P  พร้อมทั้งติดตั้งพอร์ตแบบ HDMI มาให้ใช้งานคู่กัน จอภาพด้านหลังขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 920,000 px มีระบบ Live View ให้ใช้งานแน่อยู่แล้ว เป็นกล้องอีกตัวที่พกคุณภาพระดับเฉียดใกล้มืออาชีพมาได้มากที่สุดตัวหนึ่ง เลยทีเดียว
 
   ไม่บ่อยนักที่กล้องรุ่นเล็กจะได้กลายเป็น “ตัวแรก” โดยในครั้งนี้ D3100 เป็นกล้องตัวแรกของค่ายที่สามารถบันทึกภาพวีดีโอในระดับ Full HD 1080p ด้วยเซนเซอร์รับภาพแบบ CMOS ระดับ 14.2 MP มันมาพร้อมกับจอภาพ LCD ขนาด 3 นิ้ว และระดับ ISO ที่สูงขึ้นกว่าเดิมถึงระดับ 12800 และเซนเซอร์ออโตโฟกัสถึง 11 จุด ระบบขจัดฝุ่นบนเซนเซอร์สองระบบ และโปรเซสเซอร์ EXPEED เวอร์ชั่น 2 ที่ทำให้มันเก่งขึ้นกว่าเดิมโดยมีระบบปรับแต่งทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ในกล้องให้ใช้งาน นอกจากนี้ยังมีซอฟต์แวร์จัดการภาพอันลือลั่นของค่ายอย่าง View NX2 แถมมาให้ใช้งานกันด้วย
   
หลังจากการปรากฏตัวของ DSLR แบบ Full Frame ตัวแรกอย่าง D3 ได้ราวสองปี นิคอนก็กลับสู่ไลน์ของมืออาชีพแบบคุณภาพด้วย D3X และทางด้านความเร็วด้วย D3S มองเผินๆ แล้ว D3S แทบไม่ต่างจาก D3 ตรงไหน แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องราวในภายนอกเท่านั้น D3S ถูกปรับปรุงหลายๆ จุด ถึงแม้ว่าหัวใจอย่างเซนเซอร์รับภาพชนิด Full Frame CMOS จะยังคงมีความละเอียดที่ 12.1 mp เท่าเดิม แต่มันก็คือ เซนเซอร์ตัวใหม่ที่ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยที่มันจะไวต่อแสงมากยิ่งขึ้น สามารถดัน ISO ขึ้นไปได้ถึงระดับ 12800 พร้อมทั้งเพิ่มระบบอำนวยความสะดวกที่ไม่มีให้ใน D3 อย่างระบบขจัดฝุ่นบนเซนเซอร์, Live View, เพิ่มความเร็วในการทำงานของระบบโดยรวม, โปรเซสเซอร์ตัวใหม่, ระบบวัดแสงและออโตโฟกัสที่ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพ และมันยังเป็นกล้อง DSLR แบบ Full Frame ตัวแรกของค่ายที่สามารถบันทึกภาพวิดีโอในระดับ HD (720p) ได้ด้วย ความเร็วที่เป็นดั่งเอกลักษณ์ของมันก็คือ ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 9 ภาพต่อวินาทีในความละเอียดสูงสุด และถึง 11 ภาพต่อวินาทีใน DX Mode (5.1 mp) พร้อมกับชุดชัตเตอร์วัสดุเคฟลาร์และคาร์บอนไฟเบอร์ที่ผ่านการทดสอบถึงสามแสน ครั้ง Buffer ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับข้อมูลภาพต่อเนื่องแบบ RAW ได้ถึง 48 ภาพ และในการชาร์จแบตเตอรี่ 1 ครั้งจะสามารถลั่นชัตเตอร์ได้ถึง 4,200 ครั้งเลยทีเดียว 
    ที่มา: http://fws.cc/linkout.php?http://www.tsdmag.com

    

Canon



เรื่องราวของ Canon นั้นเริ่มต้นขึ้นจากกล้องถ่ายรูป…
   ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1933 ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งของอพาร์ทเม้นท์ซึ่งอยู่ในเขตรอปปองงิของโตเกียว เป็นสถานที่ก่อตั้งห้องทดลองเล็กๆ ของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฝันและจุดมุ่งหมายที่จะสร้างกล้องถ่ายภาพ สัญชาติญี่ปุ่นขึ้นมาท่ามกลางกระแสที่เชี่ยวกรากของกองทัพกล้องถ่ายภาพจาก เยอรมันซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น
   ภายหลังจากที่ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Precision Optical Instruments Laboratory ขึ้นในปี 1933 แล้ว ชายหนุ่มผู้ก่อตั้งทั้งสี่คือ ทาเคชิ มิตาราอิ, โกโร่ โยชิดะ, ซาบุโร่ ยูชิดะ และ ทาเคโอะ มาเอดะ ก็ได้ร่วมกันสร้างกล้องถ่ายภาพขนาด 35 mm ตัวต้นแบบขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จโดยใช้ชื่อว่า “The Kwanon” โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระโพธิสัตว์กวนอิม (ซึ่งในญี่ปุ่นจะเรียกว่า Kannon) ซึ่งมันคือกล้อง 35mm ที่ใช้ชัตเตอร์แบบ Focal Plan ตัวแรกของญี่ปุ่นในเวลานั้น
   ต่อมาในปี ค.ศ. 1935 กล้องถ่ายภาพขนาด 35 mm ตัวแรกที่ออกทำตลาดในญี่ปุ่นก็คือ “Hansa Canon”  ซึ่งมันคือกล้องถ่ายภาพตัวแรกภายใต้ชื่อ Canon

อีกห้าปีถัดมามา กล้อง x-ray สัญชาติซามูไรตัวแรกก็ถือกำเนิดขึ้นด้วยผลงานของ Canon (ในเวลานั้นก็คือ Precision Optical Instruments Laboratory) ในปี ค.ศ. 1947 ได้ทำการเปลี่ยนแปลงขื่อองค์กรจากเดิมมาเป็น Canon Camera Co.. Ltd. อย่างเป็นทางการ ซึ่งผลงานที่ตามออกมาหลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วก็คือการออกแบบและพัฒนา “เลนส์ซูม” สำหรับการบันทึกภาพวีดีิโอ และในปีถัดมา Canon ก็นำ “Reflex Zoom8″ กล้องบันทึกภาพวีดีโอตัวแรกของโลกที่มีเลนส์ซูมให้ใช้งานออกแนะนำสู่สาธารณะ ชน
   หลัง จากนั้นเป็นต้นมา กล้องถ่ายภาพแบบต่างๆ และเครื่องมือทางธุรกิจในระบบอัตโนมัติ (เช่นเครื่องคิดเลขแบบสิบปุ่มตัวแรกของโลก) ภายใต้ชื่อ Canon ก็ถูกผลิตออกมาสู่สาธารณะชนเป็นระยะๆ รวมทั้งการรุกเข้าสู่ตลาดโลกโดยการเปิดสำนักงานสาขาขึ้นที่นิวยอร์คในปี ค.ศ. 1955 และแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายขึ้นที่ยุโรปในเมืองเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1957 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1969 บริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Canon Inc. จากความสำเร็จในธุรกิจระดับสากลที่ผ่านมานั่นเอง
   ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา Canon ก็ไม่ได้เป็นเฉพาะบริษัทที่ผลิตแต่กล้องถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว ยังขยายงานออกไปสู่ธุรกิจอุปกรณ์สำนักงานโดยการเริ่มต้นผลิตเครื่องถ่าย สำเนาเอกสาร NP-1100 เป็นตัวแรก และตามมาด้วยเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์และอิ้งค์เจ็ตรวมทั้งเครื่องมัลติฟังก์ ชั่นตามมาในภายหลังด้วยสโลแกนเท่ๆ ว่า “กล้องถ่ายภาพในมือขวา อุปกรณ์ธุรกิจในมือซ้าย” (Cameras in the right hand, business machines in the left)
 

Canon F-1 คือกล้อง SLR ตัวต่อมาของ Canon ในปี ค.ศ. 1971 พร้อมระบบเลนส์ FD ซึ่งถือว่า
 ค.ศ. 1992 Canon สร้างปรากฏการณ์ยุคใหม่ของเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพอีกครั้งด้วยการเปิดตัวEOS 5 ซึ่งเป็นกล้อง SLR ที่สามารถจับโฟกัสตามการมองด้วยสายตาในช่องมองภาพได้ (Eye Controlled AF) ต่อมาในปี ค.ศ. 1995 ก็ได้เปิดตัวเลนส์ถ่ายภาพ EF 75-300mm f/4-5.6 IS USM ซึ่งเป็นเลนส์ที่มีระบบลดการสั่นไหว IS (Image Stabilization) เพื่อแก้ปัญหาอาการภาพสั่นเบลอในเลนส์เทเลโฟโต้ พร้อมกับกล้อง EOS-1N RS กล้อง SLR ระดับมืออาชีพที่สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็วใน การเลื่อนฟิล์มถึง 10 ภาพต่อวินาที
   อีกหนึ่งปีถัดมา กล้องในตระกูล IXUS (ซึ่งมีชื่อในอเมริกาว่า ELPH) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมระบบฟิล์มแบบ APS ในยุคนั้น

  




 สู่โลกยุคดิจิตอล
   Canon เริ่มผลิตกล้องถ่ายภาพแบบดิจิตอลขึ้นในปี ค.ศ. 1984 ด้วยกล้องรุ่น RC-701 (ซึ่งเป็นเหมือนต้นตระกูลของกล้อง PowerShot และ IXUS ในปัจจุบัน) ส่วนในสายการผลิต EOS DIGITAL นั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยความร่วมมือกับ Kodak ในการผลิตกล้องรุ่น EOS DCS 3 ในปี ค.ศ. 1995 ส่วนกล้อง DSLR ตัวแรกสุดที่เป็นฝีมือของ Canon เองล้วนๆ ก็คือ EOS D30 ในปี ค.ศ. 2000 ตามด้วย DSLR ในระดับมืออาชีพอย่าง EOS 1D ในปี ค.ศ. 2001
   ปัจจุบันกล้องถ่ายภาพระบบฟิล์มของ Canon ได้ยุติการผลิตไปแล้ว ในขณะที่กล้องถ่ายภาพและเลนส์ในระบบดิจิตอลยังคงกวาดรายได้ทั่วโลกเป็นมูลค่ามหาศาลในฐานะที่เป็นกล้องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดยี่ห้อหนึ่งของ โลก

   ที่มา: http://www.tsdmag.com
   เป็นกล้อง SLR ที่ได้รับความนิยมอย่าง
   มาก จนกระทั่งโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุค
   คอมพิวเตอร์ Canon AE-1 ก็ได้ถูกปล่อยออกสู่ตลาดในฐานะที่เป็นกล้อง SLR ตัวแรกของโลกที่มีระบบไมโครคอมพิวเตอร์ทำงานร่วมอยู่ภายในกล้อง
   
       
 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1987 ก้าวย่างที่สำคัญซึ่งส่งผลมาจนถึงปัจจุบันของกล้องถ่ายภาพของ Canon ก็ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อสายพันธุ์ EOS (Electro-Optical System) ด้วยกล้องตัวแรกที่ชื่อว่า Canon EOS 650 ซึ่งเป็นกล้อง SLR ที่มีระบบออโตโฟกัสพร้อมให้ใช้งานในตัว