ตลอด ระยะเวลาที่ Sony บุกตะลุยธุรกิจด้านภาพและเสียงนั้นก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นผลงานใหม่ๆ ออกสู่โลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันเป็น มาตรฐานทั่วไป แต่กรณีที่โด่งดังมากที่สุดก็คือศึกชิงมาตรฐานระบบวีดีโอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ตามบ้านในปี ค.ศ. 1980 ระหว่างระบบ Betamax ของ Sony และ VHS ของ JVC ซึ่งผลปรากฏออกมาว่า VHS ของ JVC ชนะและได้กลายมาเป็นมาตรฐานของวีดีโอตามบ้านในเวลาต่อมา ส่วนระบบ Betamax ของ Sony นั้นถูกพัฒนาไปเป็นระบบสำหรับมืออาชีพในการผลิตรายการโทรทัศน์แทนเนื่องจาก ให้คุณภาพของภาพและเสียงที่สูงมาก
สังเวียน ที่ 2 เพิ่งจบไปไม่นานนี้เอง เมื่อ Toshiba เปิดศึกชิงมาตรฐานระบบดิจิตอลวีดีโอแบบแผ่นระหว่าง HD-DVD ของ Toshiba และ Blu-Ray ของ Sony ซึ่งผลปรากฏว่ารอบนี้ Sony ได้รับชัยชนะไปอย่างขาดลอย ส่งผลให้ Blu-Ray ได้เข้าสู่การเป็นมาตรฐานของผู้ใช้ทั่วไปได้สำเร็จ
ก้าว ใหญ่ๆ อีกก้าวหนึ่งของ Sony ได้เกิดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2006 เมื่อ Sony ได้เข้าซื้อกิจการกล้องถ่ายภาพของ Konica Minolta เอาไว้ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงแบรนด์ Alpha (α) กล้อง Digital SLR ของ KonicaMinolta มาจัดการต่อไป ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2006-2008 นั้น Sony จัดได้ว่าเป็นบริษัทที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุดในธุรกิจกล้องถ่ายภาพด้วยส่วน แบ่ง 13% ในตลาดนี้ ส่งผลให้ Sony Alpha ขึ้นเป็นอันดับที่สามในตลาด DSLR ได้เป็นผลสำเร็จ
กล้อง Alpha ตัวแรกจากผลงานของ Sony ที่ออกสู่ตลาดก็คือ Alpha 100 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2006 ตามมาด้วยกล้องที่จริงจังมากขึ้นอย่าง Alpha 700 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 จากนั้น Sony ก็ได้ทยอยปล่อยกล้อง DSLR สำหรับกุล่มผู้ใช้มือสมัครเล่นออกมาเป็นระยะๆ แต่ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 Sony ก็สั่นสะท้านวงการด้วยการปล่อย Alpha 900 DSLR ระดับมืออาชีพที่มีเซนเซอร์รับภาพขนาด Full Frame พร้อมความละเอียดที่สูงมากถึง 24.6 MP ลงสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป ทำเอาคนในวงการโจษขานกันข้ามปีเลยทีเดียว
Sony นั้นได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งอิเล็คทรอนิกส์อยู่แล้ว อุปกรณ์ส่วนประกอบต่างๆ ที่ใช้ในกล้องนั้นทาง Sony ก็ผลิตจำหน่ายให้กับผู้ผลิตกล้องรายอื่นๆ อยู่เป็นปกติ ดังนั้นการที่ Sony จะใช้จุดแข็งที่มีในด้านนี้เพื่อสร้างความฮือฮาให้กับกล้องและอุปกรณ์ของตน ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
อัน ที่จริงแล้วจะมองว่า Sony เป็นผู้เล่นหน้าใหม่สุดๆ ในวงการกล้องถ่ายภาพก็ยังไม่ถนัดนัก เพราะที่จริงแล้ว Sony เคยช็อคโลกมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยการปล่อยกล้องถ่ายภาพนิ่ง Mavica ซึ่งไม่ใช้ฟิล์มออกสู่ตลาดในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1981 ซึ่งในครั้งนั้นยังเรียกว่าเป็น Electronic Still Camera (ไม่ใช่ดิจิตอล) เพราะเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD ในกล้องนั้นจะทำงานในระบบวีดีโออนาล็อกซึ่งจะส่งสัญญาณภาพ NTSC ลงไปบันทึกเอาไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลขนาดสองนิ้วที่เรียกว่า VF ด้วยความละเอียด 570×490 px ซึ่งจะบันทึกภาพได้ประมาณ 50 ภาพ และยังมีรุ่น “โปร” ออกมาในดีไซน์แบบ SLR โดยที่มันสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ แถมยังมีอแดปเตอร์สำหรับนำเลนส์ของ Nikon หรือ Canon มาใช้ก็ได้อีกด้วย
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา Canon ก็ไม่ได้เป็นเฉพาะบริษัทที่ผลิตแต่กล้องถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว ยังขยายงานออกไปสู่ธุรกิจอุปกรณ์สำนักงานโดยการเริ่มต้นผลิตเครื่องถ่าย สำเนาเอกสาร NP-1100 เป็นตัวแรก และตามมาด้วยเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์และอิ้งค์เจ็ตรวมทั้งเครื่องมัลติฟังก์ ชั่นตามมาในภายหลังด้วยสโลแกนเท่ๆ ว่า “กล้องถ่ายภาพในมือขวา อุปกรณ์ธุรกิจในมือซ้าย” (Cameras in the right hand, business machines in the left)